เด็กโต

      พัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็ก

      พัฒนาด้านการพูดและภาษาของลูก

      พบกับคำถามและคำตอบสำหรับความรู้เพื่อการพัฒนาทางด้านการพูด การฟังและภาษาของลูกน้อย

      Q: เท่าที่อ่านจากหนังสือบางเล่ม เขาบอกว่าการให้ลูกทานอาหาร จะช่วยฝึกพัฒนาการด้านการพูดได้ด้วย จริงหรือไม่ และเป็นอย่างไรคะ

      A: จริงค่ะ เพราะกล้ามเนื้อที่ใช้ทานอาหารและพูดเป็นกล้ามเนื้อเดียวกัน ตอนที่ลูกเรียนรู้การทานอาหารอ่อน เขาก็จะเริ่มฝึกการเคี้ยวไปด้วยการใช้ลิ้นดุนอาหารไปยังเหงือกเพื่อบดอาหารให้ละเอียด เมื่อเริ่มโตขึ้น ลูกจะเริ่มเรียนรู้การใช้งานของลิ้นและริมฝีปากร่วมกัน โดยเริ่มใช้ลิ้นผลักและดันอาหารไปด้านหน้าเพื่อให้ออกจากปาก 

      จากนั้น พัฒนาการการใช้ปลายลิ้นเริ่มมีมากขึ้นเมื่อลูกเริ่มเคี้ยวเป็น ซึ่งนี่เป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการด้านการพูด เพราะเสียงที่เปล่งออกมาก็เกิดจากการใช้ปลายลิ้นทั้งนั้น เช่น ตัว ท.ทหาร และ ด.เด็ก เมื่อลูกรู้จักควบคุมการใช้ลิ้น ริมฝีปาก็จะถูกใช้ให้เปิดกว้างเพื่อรับอาหารจากช้อนเข้าปาก และเริ่มเรียนรู้วิธีการกลืนในช่วงนั้น อาหารประเภทซุปข้นหรืออาหารที่มีเนื้อสัมผัสจะส่งให้เกิดปฎิกิริยาตอบสนองต่อการเคี้ยว ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของพัฒนาการทางการพูด ดังนั้น การให้อาหารลูกน้อยถือเป็นการบริหารการใช้ริมฝีปาก ขากรรไกรและลิ้น เป็นการเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับศิลปะในการออกเสียงในอนาคต

       

      Q: เริ่มให้ลูกทานอาหารอ่อนตอนช่วง 4-6 เดือน จะช้าไปหรือมีผลต่อพัฒนาการด้านภาษาของลูกไหมคะ

      A: การให้อาหารเสริมตามวัยควรเริ่มเมื่อลูกอายุได้ 6 เดือนค่ะ แต่เด็กแต่ละคนก็มีความต้องการช้าเร็วต่างกันไป การให้อาหารเสริมตามวัยหลังจาก 6 เดือน ไม่ได้มีผลต่อพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของลูกโดยตรงเท่าไหร่นัก แต่ถ้าลูกเรียนรู้การเคี้ยวช้า หรือยังคงดูดนมจากขวดอยู่ ลูกอาจจะมีปัญหาเรื่องการออกเสียงในตอนโตได้ อาหารเหลวสามารถช่วยพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อริมฝีปากและลิ้นสำหรับการพูดค่ะ เช่นเดียวกันกับอาหารอ่อนจะช่วยส่งเสริมได้มากกว่าอาหารข้นเพราะจะมีส่วนช่วยในการฝึกเคี้ยวมากกว่า หากยังให้ลูกทานซุปข้น อาจทำให้ลูกคายอาหารออกมาได้ และเรียนรู้การเคี้ยวได้ช้าลง หลายๆ เสียง ไม่สามารถพัฒนาได้ในเวลาเดียวกัน บางเสียงอาจออกเสียงได้ยากกว่าเสียงอื่นๆ และจะพัฒนาขึ้นเมื่อลูกโตกว่านี้ค่ะ

       

      Q: ทำอย่างไรถึงจะทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลาทานอาหารเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุก

      A: การให้อาหารเสริมตามวัยแก่ลูก สามารถเป็นได้ทั้งช่วงเวลาสนุกและช่วงเวลาของความวุ่นวายค่ะ ความวุ่นวายคือ ทั้งคุณแม่และคุณพ่อจะรู้สึกกังวลว่าควรจะให้อาหารมากน้อยแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของลูก รวมทั้งการเตรียมอาหารให้ลูก และการบังคับให้ลูกทาน แต่ความสนุกก็คือ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ช่วงเวลาทานอาหารเป็นช่วงเวลาที่คุณและลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ได้เล่น ได้หลอกล่อ ได้แลกเปลี่ยน ได้เรียนรู้และสอนการใช้ภาษาให้กับลูก 

      ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ลูกได้ฝึกบริหารริมฝีปากและการควบคุมการใช้ลิ้น รู้จักการดูดกลืนอาหาร การเคี้ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกพูดในช่วงต่อไป คุณแม่และคุณพ่อควรใช้เวลาในการให้อาหารเสริมตามวัยของลูกเป็นโอกาสที่จะได้สื่อสารกับลูก ผ่านการตั้งชื่ออาหารต่างๆ ให้เขา หรือสอนลูกให้เคี้ยวและกลืนเป็น จำไว้เสมอว่า นี่คือการเริ่มต้นของพัฒนาการการพูดค่ะ

       

      Q: คุณพ่อคุณแม่ควรจะมีวิธีพูดกับลูกอย่างไร เพื่อจะช่วยฝึกให้ลูกมีพัฒนาการทางภาษาที่ดี

      A: คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี คือ 

      - พูดเสียงดัง ฟังชัด

      - นั่งใกล้ๆ กับลูก

      - พยายามสบตากันให้มากที่สุด

      - ส่งเสริมและให้กำลังใจด้วยการพูดและแสดงสีหน้าท่าทางที่มากกว่าปกติให้ลูกได้ฟัง

      - ออกเสียงให้ชัดเจน และถูกต้องอย่างช้าๆ 

      - ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน

      - ใช้ประโยคง่ายๆ พูดกับลูก เช่น ลูกช่วยเอาแก้วให้คุณพ่อหน่อยได้ไหมจ๊ะ

      - หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาแบบเด็กๆ เมื่อลูกอายุมากกว่า 12 เดือน

      - เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ให้ความสนใจและใส่ใจในสิ่งที่ลูกพูด

      - เป็นนักสื่อสารที่ดีและมีความตื่นตัวกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเสมอ

      - ให้คำชมแก่พวกเขา

      - โต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติและเป็นประโยคที่สมบูรณ์

      - สำคัญที่สุดคือพยายามทำทุกอย่างดังกล่าวให้เป็นเรื่องสนุก

       

      Q: ปัจจุบัน คุณแม่คุณพ่อส่วนใหญ่จะรู้สึกระมัดระวังและค่อนข้างเปรียบเทียบพัฒนาการของลูกตัวเองและลูกคนอื่นในวัยเดียวกันมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาควรกังวลเฉพาะเมื่อลูกของเขามีพัฒนาการทางภาษาช้ามากกว่าจะไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นใช่หรือไม่คะ

       A: โดยทั่วไปแล้ว การพูด การออกเสียง และการใช้ภาษาจะมีพัฒนาการตามรูปแบบของมัน แม้ว่าจะมีมาตรฐานว่าอายุเท่านี้ ควรมีพัฒนาการได้เท่านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วในแต่ละช่วงพัฒนาการก็มีอะไรหลายๆ อย่างต่างกันไป แม้ว่าเด็กที่ยังไม่สามารถพูดได้จนอายุ 2 ปี จะเรียนรู้ภาษาในเวลาไล่เลี่ยกัน และต้องใช้เวลาในการลำดับการเรียนรู้มากกว่าเดิม แต่จำไว้ว่า พัฒนาการต่างๆ นั้น มีหลายๆ อย่างให้เรียนรู้ และเด็กแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันในการพัฒนาตามความรู้สึกของแต่ละคนค่ะ

      ภาษาคือ ความเข้าใจและการใช้คำ ในความเป็นจริง ภาษาของเด็กนั้นเรียนรู้ตั้งแต่เกิด โดยการฟัง การตอบสนองต่อครอบครัว และทุกอย่างจะพัฒนาเมื่อถึงเวลาของมัน เด็กบางคนอาจพัฒนาได้เร็วกว่าคนอื่น แต่บางคนอาจช้ากว่าคนอื่นก็ได้ ลองมาดูตัวอย่างว่าเด็กวัยใด ควรมีพัฒนาการอย่างไรบ้างค่ะ

       

      0-12 เดือน

      - พึมพำ (มัม ป้อ หม่ำ)

      - เลียนแบบเสียงสิ่งต่างๆ (บรื๊นนน ซึ่งเป็นเสียงรถยนต์)

      - ทำคลื่นหรือปรบมือหากมีคนเรียกร้อง

       

      12-18 เดือน 

      - เริ่มชี้เรียกชื่อสิ่งของ

      - เริ่มพูดคำเดี่ยวๆ เช่น แมว นม

       

      18-24 เดือน

      - พูดหลายๆ คำ

      - ผสมคำเข้าด้วยกัน เช่น หิวนม

      - ฟังเรื่องเล่าสั้นๆ จากพ่อแม่

      - เข้าใจคำถามง่ายๆ เช่น กล้วยอยู่ไหน

       

      2-3 ปี

      - เริ่มใช้ 3-5 คำ ต่อประโยค

      - บอกคุณว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

      - ถามคำถาม

      - เข้าใจความหมายต่างๆของคำ เช่น ใหญ่ เล็ก ใน นอก ใต้

       

      Q: แล้วเมื่อไหร่คุณแม่คุณพ่อจึงควรกังวลใจว่าลูกเริ่มมีพัฒนาการทางการใช้ภาษาที่ช้ากว่าปกติคะ

      A: เด็กบางคน จะมีพัฒนาการต่างๆ ที่ช้ากว่าปกติ ถ้าลูกใช้เวลาในการเรียนรู้การคลาน การเดิน การกินอาหารเหลวช้า ก็อาจเป็นไปได้ว่าพัฒนาการทางการพูดจะช้าไปด้วย แต่ถ้าลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่บอก และสามารถทำตามคำแนะนำคือลูกสามารถชี้บอกได้ว่าต้องการอะไร แสดงว่าลูกอาจจะมีพัฒนาการทางการพูดช้าและมีความเป็นไปได้ที่จะมีพัฒนาการอย่างสมบูรณ์เมื่อโตขึ้นค่ะ

      แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่พ่อแม่ขอให้ทำ และไม่สามารถเลียนแบบหรือจดจำเสียงต่างๆ ได้เลย และเวลาได้ยินเสียงดังๆ ลูกก็ไม่รู้สึกตกใจ คุณแม่ควรพาลูกไปรับการตรวจเช็คหูและประสาทรับฟัง ปัญหาการได้ยิน ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการการพูดค่ะ

      เด็กหลายคนควรจะสามารถเข้าใจบทสนทนาจากคนแปลกหน้าได้เมื่อพวกเขาอายุ 3-4 ปีขึ้นไป หากลูกของคนมีปัญหาในเรื่องนี้ พยายามปรึกษาคุณหมอหรือที่ปรึกษาเกี่ยวกับการพูดและฟังสำหรับเด็กแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยพัฒนาต่อไปค่ะ

       

      Q: มีกิจกรรมหรือการออกกำลังกายแบบใดบ้างที่สามารถช่วยให้ลูกพูดหรือเปล่งเสียงได้อย่างชัดเจนบ้างคะ

      A: หากลูกพูดไม่ชัด ลองให้ลูกทำท่าทางเป่าของ ดูดของหรือเคี้ยวของ เพราะจะช่วยฝึกกล้ามเนื้อรอบๆ ปาก เพื่อช่วยให้เขาสามารถพูดได้มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่เองก็ควรพยายามส่งเสริมให้ลูกเล่นเป่าลูกโป่ง ฟองอากาศ หรือเศษกระดาษทิชชู่ นอกจากนี้ อาจจะช่วยฝึกให้ลูกดูดน้ำจากหลอด และให้เค้าลองเคี้ยวอาหารเหลวดู คุณแม่คุณพ่อควรระลึกไว้เสมอว่า ควรจะมองหาผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาด้านการพูดและฟัง เพื่อมั่นใจได้ว่าลูกๆ จะได้รับการรักษาและฝึกฝนหากเขามีปัญหาในเรื่องพัฒนาการทางการพูดและการใช้ภาษาจริงๆ ค่ะ

      แนะนำเพิ่มเติม

      คุณพ่อและคุณแม่ควรพูดหรือร้องเพลงให้ลูกฟังขณะอาบน้ำ แต่งตัว หรือป้อนอาหาร การได้ใช้น้ำเสียงที่หลากหลายพร้อมแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง จะช่วยพัฒนาพื้นฐานการพูดของลูกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ คุณแม่และคุณพ่อสามารถช่วยส่งเสริมการฝึกฝนโดยการมอบรางวัลเมื่อลูกพูดคำใหม่ๆ ได้ โดยการให้คำชม อ้อมกอด หรือจูบซักฟอดค่ะ

      hi-family-resilience-handbook-ipad

      รับฟรี! คู่มือออนไลน์ “เลี้ยงลูกให้มีภูมิต้านทาน”

      สมัครสมาชิก Hi-Family Club เราพร้อมเคียงข้างคุณแม่ทุกช่วงเวลา
      • รับฟรี! ชุดของขวัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
      • บริการให้คำปรึกษาโดยทีมพยาบาล นักโภชนาการ และคุณแม่
      • ข้อมูลสุขภาพที่เหมาะกับคุณ ผ่าน SMS
      สมัครสมาชิก

      รับฟรี! คู่มือออนไลน์ “เลี้ยงลูกให้มีภูมิต้านทาน”

      เพียงสมัครสมาชิกไฮ-แฟมิลี่คลับ เราพร้อมเคียงข้างคุณแม่ทุกช่วงเวลา

      • รับฟรี! คู่มือออนไลน์ “เลี้ยงลูกให้มีภูมิต้านทาน” โดยคุณหมอเจ้าของเพจ “ตามใจนักจิตวิทยา”
      • บริการให้คำปรึกษาโดยทีมพยาบาล นักโภชนาการ และคุณแม่
      • ข้อมูลสุขภาพที่เหมาะกับคุณ ผ่าน SMS
      สมัครสมาชิก

      บทความที่เกี่ยวข้อง

      ไฮ-แฟมิลี่ แคร์ไลน์

      บริการให้คำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่คุณแม่กังวลใจ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักโภชนาการและคุณแม่ ที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ตลอด 24 ชั่วโมง