สิ่งสำคัญที่ควรทราบ

นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เราสนับสนุนคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต จากนั้นเริ่มให้อาหารเสริมตามวัยที่ปลอดภัยอย่างเหมาะสมร่วมกับนมแม่จนครบ 2 ปี หรือนานกว่านั้น การได้รับโภชนาการที่ดีและสมดุลของมารดาในช่วงให้นมบุตรจึงมีความสำคัญยิ่ง  ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้นมผสม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนตัดสินใจ และควรปฏิบัติตามข้อแนะนำในการเตรียมและการใช้อย่างระมัดระวังเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกรัก


โภชนาการที่ดีควบคู่กับการส่งเสริมพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย คือ รากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของลูกรัก ไฮ-แฟมิลี่คลับ พร้อมเคียงข้างคุณแม่ ด้วยข้อมูลด้านโภชนาการและพัฒนาการที่เป็นประโยชน์ เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกรัก

ผ่าคลอด รอบรู้แนวทางการอย่างครอบคลุมสำหรับคุณแม่ยุคใหม่

การผ่าคลอด เป็นทางเลือกของการคลอด โดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องการวางแผนคลอดล่วงหน้า หรือมีภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ แต่หลายคนยังมีคำถามว่า ผ่าคลอดปลอดภัยแค่ไหน? มีผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายแม่และลูก? ฟื้นตัวนานไหม? 

บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจกับ “การผ่าคลอด” อย่างครบถ้วน ชัดเจน และอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งแพทย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยทั้งแม่และลูก

Cesarean-section

ตรวจสอบบทความโดย: รุ่งทิวา สุลักษณานนท์

พยาบาลศาสตรบัณฑิต การพยาบาลและการผดุงครรภ์

ทำความเข้าใจกับ “การผ่าคลอด” 

 

การผ่าคลอด (Cesarean Section หรือ C-section) คือการคลอดโดยการผ่าตัดผ่านหน้าท้องและมดลูก เหมาะสำหรับกรณีที่การคลอดธรรมชาติเสี่ยง เช่น

-ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ (เช่น ท่าก้นหรือขวาง)

-คุณแม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือถุงน้ำเดินก่อนกำหนด

 

การผ่าคลอด มักใช้ ยาชาแบบบล็อกหลัง เพื่อให้คุณแม่ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างผ่าตัด แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉิน อาจใช้การดมยาสลบเพื่อระงับความรู้สึกแทน หลังยาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการปวดแผลอยู่หลายวัน

ผ่าคลอด VS คลอดธรรมชาติ: ต่างกันอย่างไร?

การเลือกวิธีคลอดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ มาดูความแตกต่างในแต่ละด้านกันค่ะ

 

- ความเจ็บปวดและระยะเวลา

คลอดธรรมชาติ: เจ็บท้องช่วงคลอด แต่ฟื้นตัวเร็ว และเริ่มให้นมลูกได้ทันที

ผ่าคลอด: ไม่เจ็บท้องตอนคลอด แต่เจ็บแผลหลังผ่าตัดนานหลายวัน

 

-ระยะพักฟื้น

คลอดธรรมชาติ: กลับบ้านได้ภายใน 1–2 วัน เริ่มเลี้ยงลูกได้เร็วกว่า

ผ่าคลอด  : พักฟื้นนานกว่า ต้องใช้ยาแก้ปวด และอาจต้องอยู่โรงพยาบาลหลายคืน

 

- ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน

คลอดธรรมชาติ: เสี่ยงฉีกขาดช่องคลอดหรือตกเลือด แต่ใช้เครื่องมือช่วยคลอดน้อย

ผ่าคลอด: เสี่ยงติดเชื้อ พังผืด รกเกาะผิดปกติในครรภ์ถัดไป

 

การเลือกวิธีคลอดควรพิจารณาจากสุขภาพของแม่และลูก รวมถึงคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในทุกขั้นตอน

ข้อดีและข้อเสียของการผ่าคลอดที่คุณแม่ควรรู้

การผ่าคลอด เป็นทางเลือกที่ช่วยให้การคลอดปลอดภัย โดยเฉพาะในกรณีที่คลอดธรรมชาติอาจเสี่ยงต่อแม่หรือทารก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน

 

ข้อดีของการผ่าคลอด

1.ไม่ต้องรอเจ็บท้องนาน – ลดความเครียดและความเหนื่อยล้าก่อนคลอด

2.ลดความเสี่ยงระหว่างรอคลอด – เช่น ทารกขาดออกซิเจนหรือหัวใจเต้นผิดปกติ

3.ไม่เจ็บระหว่างคลอด – ใช้ยาชา/ยาสลบช่วยระงับความรู้สึก

4.กำหนดวันคลอดได้ – เหมาะกับครอบครัวที่ต้องการวางแผนล่วงหน้า

5.เหมาะกับครรภ์ที่มีเสี่ยง – เช่น ท่าทารกผิดปกติ หรือแม่มีโรคประจำตัว

6..สามารถทำหมันได้ทันที – หากคุณแม่ไม่ต้องการมีลูกเพิ่ม

 

ข้อเสียของการผ่าคลอด

1.เสี่ยงจากการระงับความรู้สึก – เช่น ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ หรือแพ้ยา

2.ฟื้นตัวช้า แผลหายช้า – ต้องพักฟื้นหลายสัปดาห์ และต้องระวังไม่ให้แผลติดเชื้อหรืออักเสบ

3.เกิดแผลเป็นที่หน้าท้อง – อาจทิ้งรอยแผลถาวรไว้ ซึ่งบางคนอาจมีพังผืดใต้แผลร่วมด้วย

4.มีแผลภายในมดลูก – อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ต่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป เช่น เสี่ยงมดลูกแตก รกเกาะลึก หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น

5.เสียเลือดมากกว่าคลอดธรรมชาติ – อาจต้องให้เลือดเพิ่มในบางราย

6.อาการหนาวสั่นหลังคลอด – จากผลข้างเคียงของยา

7.อาจต้องผ่าซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งหน้า – แม้บางรายจะคลอดธรรมชาติได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

 

การผ่าคลอดมีผลต่อสุขภาพของแม่และลูกในระยะยาวหรือไม่?

แม่ : อาจมีพังผืดสะสมในช่องท้อง รกติดเกาะผิดปกติในครรภ์ถัดไป เสี่ยงเกิดภาวะตกเลือดหรือจำเป็นต้องตัดมดลูก

ลูก : อาจขาดโพรไบโอติกจากช่องคลอด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงเท่าคลอดธรรมชาติ เพิ่มความเสี่ยงภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวาน โรคอ้วน

สาเหตุที่คุณหมออาจแนะนำให้ผ่าคลอด

- ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง หรือเท้าอยู่ด้านล่าง

- หัวทารกใหญ่เกินไป ไม่สามารถผ่านโพรงเชิงกรานได้

- คุณแม่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ

- ถุงน้ำเดินก่อนกำหนด เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะฉุกเฉิน

- ภาวะรกเกาะต่ำ หรือมดลูกฉีก รวมถึงภาวะขาดเลือดเฉียบพลัน

เตรียมตัวก่อนผ่าคลอด: สิ่งสำคัญที่คุณแม่ต้องรู้

การเตรียมตัวก่อนผ่าคลอดอย่างรอบด้าน จะช่วยให้คุณแม่มั่นใจและปลอดภัยทั้งก่อนและหลังคลอด

 

🩺 ตรวจสุขภาพก่อนคลอด

ตรวจร่างกายและภาวะแทรกซ้อนอย่างละเอียด

ประเมินความพร้อมของแม่และทารก

🍽️ ปรึกษาเรื่องโภชนาการ

เน้นอาหารที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ

ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของทารก และเสริมภูมิคุ้มกัน

🏥 เลือกทีมแพทย์และโรงพยาบาลที่พร้อม

มีทีมสูติแพทย์ (OB‑Stat) และกุมารแพทย์ครบ

มีบริการดูแลหลังคลอด เช่น ห้องพักฟื้น การให้นม และการดูแลแผล

ระยะเวลาฟื้นตัวหลังผ่าคลอด

- ใช้เวลาประมาณ 4–6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน 

- ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก และ งดกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น ทำความสะอาดบ้านหรือออกกำลังกายหนัก

- แผลผ่าตัดอาจเจ็บนานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ ควรดูแลให้สะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ

อาหารและการดูแลแผลหลังผ่าคลอดอย่างถูกวิธี

การดูแลแผลหลังผ่าคลอด

1.หลีกเลี่ยงน้ำและความชื้น:ห้ามให้แผลโดนน้ำโดยตรงในช่วงแรก สามารถใช้ผ้าสะอาดซับเบา ๆ หากมีเหงื่อหรือเปียกขอบผ้าปิดแผล

2.งดยกของหนักและออกแรงมาก: โดยเฉพาะในช่วง 4-6 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันแผลแยกหรืออักเสบ 

3.สังเกตอาการผิดปกติของแผล: หากมีอาการบวม แดง ร้อน หรือมีน้ำเหลืองไหล ควรรีบพบแพทย์ทันที 

 

อาหารที่ควรรับประทาน

1.ครบ 5 หมู่ เน้นโปรตีนและไฟเบอร์:

- โปรตีนช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เช่น ไข่ เนื้อปลา ถั่ว

- ไฟเบอร์ช่วยลดอาการท้องผูก เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช 

 

2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

- อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและลดการติดเชื้อ 

 

3.อาหารที่มีวิตามินซีและธาตุเหล็ก

- วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็ว เช่น ส้ม ฝรั่ง

- ธาตุเหล็กช่วยฟื้นฟูเลือด เช่น ตับ ไข่แดง 

คำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการวางแผนผ่าคลอดอย่างปลอดภัย

 

1.เลือกสถานพยาบาลที่เหมาะสม

-ควรเลือกโรงพยาบาลที่มี ทีมสูติแพทย์ และ กุมารแพทย์ พร้อมดูแลทารกทันทีหลังคลอด

-มีอุปกรณ์และทีมฉุกเฉินครบ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด 

 

2.รับข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจ

-แพทย์จะให้ข้อมูลทั้ง ข้อดีและข้อเสีย ของการผ่าคลอด เช่น ความปลอดภัย ความเสี่ยง การฟื้นตัว 

และผลกระทบระยะยาว 

-ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพของแม่และลูกก่อนเลือกวิธีคลอดที่เหมาะสมที่สุด

 

3.เตรียมแผนฟื้นตัวหลังคลอด

-วางแผนการดูแลแผลผ่าตัด โภชนาการ การพักผ่อน และการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการเจ็บ

-ควรมีผู้ช่วยดูแลในช่วงแรก เช่น ครอบครัวหรือพี่เลี้ยง เพื่อให้คุณแม่ได้พักฟื้นเต็มที่ 

 

4.ศึกษาทางเลือกคลอดธรรมชาติหลังผ่าคลอด  (VBAC)

- มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 80% หากไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ เช่น แผลผ่าคลอดเดิมบางเกินไป 

หรือมีภาวะแทรกซ้อน 

- ควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าเพื่อวางแผน VBAC อย่างปลอดภัย

carelinepic_resized2

ไฮ-แฟมิลี่ แคร์ไลน์

บริการให้คำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่คุณแม่กังวลใจ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักโภชนาการและคุณแม่ ที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ตลอด 24 ชั่วโมง

x