สิ่งสำคัญที่ควรทราบ
นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เราสนับสนุนคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต จากนั้นเริ่มให้อาหารเสริมตามวัยที่ปลอดภัยอย่างเหมาะสมร่วมกับนมแม่จนครบ 2 ปี หรือนานกว่านั้น การได้รับโภชนาการที่ดีและสมดุลของมารดาในช่วงให้นมบุตรจึงมีความสำคัญยิ่ง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้นมผสม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนตัดสินใจ และควรปฏิบัติตามข้อแนะนำในการเตรียมและการใช้อย่างระมัดระวังเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกรัก
โภชนาการที่ดีควบคู่กับการส่งเสริมพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย คือ รากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของลูกรัก ไฮ-แฟมิลี่คลับ พร้อมเคียงข้างคุณแม่ ด้วยข้อมูลด้านโภชนาการและพัฒนาการที่เป็นประโยชน์ เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกรัก
เลือกอ่านตามหัวข้อที่ต้องการ
วิตามินเด็กสำคัญต่อพัฒนาการและสุขภาพอย่างไร
แคลเซียม (Calcium) เสริมสร้างกระดูกและฟันให้ความแข็งแรง
วิตามินเอ (Vitamin A) มีส่วนช่วยเรื่องการมองเห็น และภูมิคุ้มกัน
โอลิโกฟรุกโตส (Oligofructose) ใยอาหารที่ช่วยระบบขับถ่าย
วิตามินบี 12 (Vitamin B12) ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมองและการสร้างเม็ดเลือดแดง
ธาตุเหล็ก (Iron) ส่งเสริมการสร้างเม็ดเลือดแดง ภูมิคุ้มกัน ช่วยให้จดจำได้ดีขึ้น
วิตามินซี (Vitamin C) เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
วิตามินดี (Vitamin D) เสริมการดูดซึมแคลเซียม เพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง
ตรวจสอบบทความโดย: มนภรณ์ มาร์ทากอน
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโภชนศาสตร์
วิตามินเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้อย่างเพียงพอ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมอาหาร โดยเฉพาะในวัยเด็กซึ่งเป็นช่วงวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การได้รับวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท สมอง ภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม การขาดวิตามินหรือการได้รับมากเกินไปอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน ดังนั้นควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเสริมวิตามินให้กับเด็ก
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอจะช่วยให้กระดูกและฟันพัฒนาได้อย่างเต็มที่ แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส กุ้ง ผักใบเขียว คะน้า ถั่วเหลือง และปลาที่กินได้ทั้งกระดูก นอกจากนี้ แคลเซียมยังมีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และหัวใจอีกด้วย
วิตามินเอมีบทบาทสำคัยช่วยเรื่องการมองเห็น มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งดวงตา ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน พบได้ในอาหารหลายชนิด ทั้งผลไม้ ผัก ปลา ตับหมู นม ตำลึง ผักหวานบ้าน แครอท มันเทศเหลือง เป็นต้น
โอลิโกฟรุกโตสเป็นใยอาหารชนิดพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ซึ่งมีผลดีต่อระบบขับถ่ายและสุขภาพทางเดินอาหารของเด็ก แหล่งอาหารที่มีโอลิโกฟรุกโตส ได้แก่ รากชิโครี หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง และกล้วย การบริโภคโอลิโกฟรุกโตสในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของเด็กได้
ในเด็กแต่ละวัยควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ดังนี้
แรกเกิดจนถึงก่อนอายุ 6 เดือน ควรได้รับ ปริมาณ 0.4 ไมโครกรัมต่อวัน
อายุ 6-11 เดือน ควรได้รับ ปริมาณ 0.5 ไมโครกรัมต่อวัน
อายุ 1-3 ปี ควรได้รับ ปริมาณ 0.9 ไมโครกรัมต่อวัน
อายุ 4-8 ปี ควรได้รับ ปริมาณ 0.5 ไมโครกรัมต่อวัน
อายุ 9-12 ปี ควรได้รับ ปริมาณ 1.8 ไมโครกรัมต่อวัน
อายุ 13 ปีเป็นต้นไป ควรได้รับ ปริมาณ 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
วิตามิน บี 12 พบมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ได้แก่ เนื้อแดง ปลา สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์จากนม
ธาตุเหล็กมีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงและการพัฒนาเชิงสติปัญญาในเด็ก การขาดธาตุเหล็กอาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งสามารถกระทบต่อพัฒนาการด้านสมอง สมาธิ และทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กได้ การเสริมธาตุเหล็กในเด็กที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กสามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองและพัฒนาการโดยรวมได้
วิตามินซีมีบทบาทหลายด้าน เช่น ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก งานวิจัยหลายฉบับแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของวิตามินซีในการเสริมสุขภาพเด็ก เช่น
- ลดอาการโรคซึมเศร้าในเด็ก (ให้วันละ 1000 มิลลิกรัม นาน 6 สัปดาห์)
- ใช้ร่วมกับธาตุเหล็ก ในเด็กที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (ให้ 250 มิลลิกรัม/วัน นาน 10 สัปดาห์)
- ใช้ในเด็กโรคไตวายเรื้อรังทางหลอดเลือด (ให้ 250 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 3 ครั้ง)
ถึงแม้ว่าวิจัยหลายฉบับจะมีแนวโน้มที่ดีก็ตาม แต่การใช้วิตามินซีในเด็กยังต้องอาศัยคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
วิตามินดีนั้นมีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน การขาดวิตามินจะทำให้กระดูกไม่แข็งแรงแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น เบาหวาน มะเร็ง โรคติดเชื้อ และโรคภูมิแพ้อีกด้วย
ซึ่งคณะการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ได้กำหนดปริมาณการรับวิตามินดีในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือน ควรได้รับ10 ไมโครกรัม/วัน และก็มีงานวิจัยในเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน พบว่าการให้วิตามินดีเสริม 25 ไมโครกรัม/วัน นาน 4 เดือน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการได้
แม้ว่าการเสริมวิตามินจะดูเป็นเรื่องปลอดภัย แต่การใช้โดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะหากใช้เกินความจำเป็น ในเด็กที่ไม่มีภาวะขาดวิตามินอย่างชัดเจน การเสริมวิตามินอาจไม่จำเป็นอย่างไรก็ตามหากเด็กกินยาก กินได้น้อย หรือมีปัญหาทางสุขภาพที่รบกวนการดูดซึมสารอาหาร การเสริมวิตามินอาจช่วยเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการ แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความจำเป็นและปริมาณที่เหมาะสม
อ้างอิงจาก
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC1121846/
https://www.webmd.com/parenting/vitamins-for-kids-do-healthy-kids-need-vitamins
https://www.niams.nih.gov/health-topics/calcium-and-vitamin-d-important-bone-health
https://www.medparkhospital.com/lifestyles/vitamin-b12
https://www.thaidietetics.org/wp-content/uploads/2020/04/dri2563.pdf
https://www.dumex.co.th/baby/baby-development/effects-of-iron-deficiency.html
ภาพจาก Freepik
M25-087
บริการให้คำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่คุณแม่กังวลใจ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักโภชนาการและคุณแม่ ที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ตลอด 24 ชั่วโมง