อาการและสาเหตุที่ทำให้ลูกป่วยบ่อย

1.ไม่ได้กินนมแม่

ไข้ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการเริ่มต้นของภาวะสุขภาพที่นำไปสู่การเจ็บป่วยที่พบบ่อยที่สุด   ซึ่งไข้ในเด็กเล็กๆนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อโรค ในช่วง 5 ปีแรกของลูกน้อย พบว่ามีโอกาสติดเชื้อที่พบได้บ่อย เช่น การติดเชื้อ RSV และเชื้อโรต้าไวรัส โดยความเสี่ยงจะมีมากเป็นพิเศษในช่วง 1 ปีแรก เมื่อลูกมีไข้ ตัวร้อน ต้องเช็ดตัวลดไข้ เพื่อระบายความร้อน การเช็ดตัวเป็นการลดไข้ที่ให้ผลเร็วที่สุด หากลูกยังมีไข้ต่อเนื่องควรพาลูกไปพบแพทย์

 2. ปวดท้อง ท้องเสีย  

อาการท้องเสีย ทำให้ลูกปวดท้อง ร้องกวนงอแง โดยสาเหตุที่ทำให้ลูกท้องเสียนั้นมาจาก  การติดเชื้อไวรัส  การติดเชื้อแบคทีเรีย  การติดเชื้ออื่นๆ เช่น เชื้อปรสิต  อาหารเป็นพิษจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม ปนเปื้อนในอาหารหรือสารพิษที่สร้างขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย  รวมถึงการได้รับยาบางชนิด  ก็อาจทำให้ลูกท้องเสียได้

เมื่อลูกมีอาการถ่ายบ่อย ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ ต้องเฝ้าระวังภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ โดยเฉพาะ ถ่ายเป็นน้ำ มากกว่า วันละ 3 ครั้ง หรือมีกลิ่นคาวเน่า มีมูกเลือดปน แม้เพียงครั้งเดียว  หรือลูกดูซึมลง มีไข้ ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์ ระหว่างนี้ให้ลูกทานนมแม่ บ่อยกว่าปกติ ร่วมกับให้ทานน้ำเกลือแร่สำหรับเด็กท้องเสีย หรือ โอ อาร์ เอส (ORS: Oral rehydration salt)15 มล./กก. กินทุก 4 ชม. ชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระ                              

3.ไอ มีเสมหะ 

อาการไอนั้น เกิดได้จาก  2 สาเหตุใหญ่ ๆได้แก่  การติดเชื้อ และ ไม่ติดเชื้อ

3.1 ไอจากการติดเชื้อ ได้แก่   เชื้อไวรัส  เช่น  หวัด โพรงจมูกอักเสบ  โพรงไชนัสอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ เป็นต้น

3.2ไอจากการไม่ติดเชื้อ  เช่น  ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคหืด สิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ  การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อากาศเป็นพิษ มีฝุ่น ควัน สารเคมี   ฯลฯ

เมื่อลูกมีอาการไอ พ่อแม่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หาสาเหตุที่ทำให้ลูกไอ ดูแลเบื้องต้น ด้วยการ รักษาร่างกายลูกให้อบอุ่นอยู่เสมอ ให้ทานนมแม่บ่อยขึ้น  และทานน้ำอุ่น เพื่อบรรเทาอาการ หากลูกไอต่อเนื่อง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ร้องงอแง อาเจียน มีไข้ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเพิ่มเติม

      จะเห็นได้ว่าสาเหตุ ที่ทำให้ลูกป่วยบ่อย จนทำให้มี 3 อาการข้างต้นนั้น ส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อไวรัส และเนื่องจากไวรัสมีมากกว่า 200 ชนิด เมื่อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของเราไป ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตัวนั้น หากครั้งต่อไปเป็นเชื้อตัวเดิมที่เข้าสู่ร่างกายอีก เราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่สามารถต้านไวรัสตัวนั้นได้

       เด็กเล็กๆ ย่อมเคยได้รับเชื้อน้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้มีภูมิต้านทานน้อยกว่า ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเสริมสร้างภูมิต้านจากภายใน เพื่อเป็นเกราะป้องกันลูกน้อยจากการติดเชื้อต่างๆ ด้วยการส่งเสริม ให้ลูกได้กินนมแม่  เพราะในนมแม่มีจุลินทรีย์สุขภาพ (โพรไบโอติกส์) และอาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ (พรีไบโอติกส์)  ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติ เสริมด้วยอาหารตามช่วงวัยเมื่อลูกน้อยอายุได้ 6 เดือน และ เมื่อถึงวัย 1 ปีขึ้นไปเน้นทานอาหารอย่างครบถ้วน 5 หมู่ เพื่อเสริมวิตามินและสารอาหารบางประเภทที่มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่  วิตามินซี  , วิตามินเอ ,สังกะสี ,โปรตีน  ,จุลินทรีย์สุขภาพ (โพรไบโอติกส์) และอาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ (พรีไบโอติกส์) 

รวมถึงป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ได้แก่

1.ดูแลสุขอนามัย รักษาความสะอาด สภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัวลูก ภาชนะต่างๆโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน และที่สำคัญ คือ การล้างมือบ่อยๆก่อนและหลังการสัมผัสลูก โดยเฉพาะในช่วงวัยทารก

2.ใส่หน้ากากอนามัย โดยเฉพาะ ช่วงที่สมาชิกในครอบครัวไม่สบาย (หน้ากากอนามัยแนะนำให้ใช้สำหรับเด็กโต อายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่)

3.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดโดยเฉพาะในช่วงมีการระบาดของโรค

4.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆตั้งแต่แรกเกิดและเป็นระยะๆตามที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาลแนะนำ

***เมื่อลูกมีภูมิต้านทานที่ดีจากภายในเป็นเกราะป้องกันแล้ว อาการป่วยบ่อยต่างๆก็จะห่างหายไป***

Source: 

1.https://www.phyathai.com/article_detail/1834/th/%E2%80%9C%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%89%E2%80%9D_%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2

2. https://www.hifamilyclub.com/baby/babyillness-factor.html

3. https://www.bangkokhospital.com/content/children-coughing-for-a-long-time-is-not-

Good

4. https://www.hifamilyclub.com/baby/advice-for-new-parent/diarrhea.html

5. https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue037/healthy-eating